บัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตรกดเงินสด ใช้ยังไงให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ
ทุกคนก็คงคุ้นเคยกับบัตรเครดิตกันอยู่แล้ว หลายคนก็คงได้ยินเรื่องการโดนตัดยอดบัตรแม้ไม่เคยได้ใช้ การขโมยข้อมูลจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการมียอดใช้แปลก ๆ เข้ามา ปัญหาเหล่านี้ก็ชวนให้ใครหลายคนทั้งกังวล ทั้งเข็ดขยาด จนไม่อยากใช้บัตรเครดิต วันนี้เราเลยพามาดูวิธีรับมือ หรือป้องกันปัญหาเหล่านี้กัน เพื่อให้เราใช้บัตรเครดิตได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวล มาดูกันเลย
เลขบัตร เลข CVV วันหมดอายุ ข้อมูลสำคัญบนบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
เลข CVV บัตรเครดิตและบัตรเดบิต
เลข CVV (Card Verification Value Code) คือ เลขที่เอาไว้ยืนยันชำระเงินออนไลน์ ไม่ว่าจะรูดซื้อสินค้า หรือชำระค่าบริการต่างๆ แน่นอนว่าเมื่อถึงคราวต้องจ่ายเงิน ก็ล้วนแล้วแต่จำเป็นต้องกรอกเลข CVV ที่อยู่หลังบัตรด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต ตัวเลข CVV จะอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันนั่นคือหลังบัตร เรียกว่าพลิกบัตรไปก็เจอเลข CVV จำนวน 3 หลักเลย ถึงแม้ว่าจะเห็นตัวเลขนี้ง่าย ๆ แต่ก็ต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด ก็ช่วยให้บัตรเครดิต บัตรเดบิต ปลอดภัยขึ้นแล้ว
หมายเลขและวันหมดอายุบัตรเครดิตและบัตรเดบิต
หมายเลขบัตรและวันหมดอายุ ก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยหมายเลขบัตร 16 หลัก สามารถบ่งบอกข้อมูลได้ทั้ง สถาบันการเงิน/ผู้ให้บริการไหนเป็นเจ้าของบัตรใบนั้น เลขบัญชีผู้ถือบัตร ประเภทของบัตร รวมถึงเลขที่ตรวจสอบ นอกจากนั้นเลขบัตรและวันหมดอายุก็เป็นตัวเลขมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะสามารถนำหมายเลขดังกล่าวมากรอกข้อมูล เพื่อผูกบัตรเครดิต บัตรเดบิต เข้ากับระบบ เพื่อเริ่มต้นการชำระเงินออนไลน์ได้ หากว่าข้อมูล 3 อย่างนี้หลุดไป ควรอายัดบัตรเอาไว้เป็นระงับการใช้งานบัตร ป้องกันมิจฉาชีพนำบัตรไปใช้งานต่อ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อมาในอนาคตได้
ความปลอดภัยของบัตรกดเงินสด
บัตรกดเงินสดความปลอดภัยจะต่างจากการใช้บัตรเครดิตเพียงเล็กน้อย เพราะไม่มีเลข CVV หลังบัตรแต่ก็ยังใช้วิธี OTP (One Time Password) ที่เป็นอีกหนึ่งระบบรักษาความปลอดภัยทางการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งจะได้รับเป็นรหัสผ่านทาง SMS ยังไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเจ้าของบัญชี ที่ให้ไว้สถาบันการเงินที่ออกบัตรกดเงินสดให้ เมื่อผูกบัตรกดเงินสดไว้กับแอปพลิเคชันแล้วจำเป็นต้องตั้งค่า Username/Password และ Pin Code 6 หลัก หรือสามารถใช้ Touch ID/Face ID ในการเข้าสู่ระบบก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันเพื่อความปลอดภัยในการเข้าใช้งานและการทำธุรกรรมการเงินบนแอปพลิเคชัน สมัครบัตรกดเงินสด
ใช้บัตรยังไงให้ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ
รู้เท่าทันมิจฉาชีพ
เริ่มต้นจากรู้เท่าทันมิจฉาชีพ รู้ว่าเขาใช้วิธีไหนในการเอาข้อมูลบัตรของเรา อย่างเช่น การลักลอบคัดลอกข้อมูลบัตร (Skimming) โดยดักข้อมูลจากแถบแม่เหล็กบนบัตรเราถ้าหากเรารู้วิธีการการโกง เราก็สามารถป้องกันได้ง่ายขึ้น ปิดโอกาสการนำบัตรเครดิตของเราไปใช้ ป้องกันการขโมยข้อมูลได้ เป็นต้น
การขโมยข้อมูลส่วนตัว
มิจฉาชีพจะใช้กลโกงทุกรูปแบบเพื่อขโมยข้อมูลสำคัญ ทั้งชื่อ อายุ ที่อยู่ วัน เดือน ปีเกิด ข้อมูลอีเมล เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น ซึ่งจะมาหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะมาในรูปแบบฟิชชิ่งจากอีเมล การโทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการนำข้อมูลบนบัตรที่ขโมยมาไปใช้ เหล่านี้คือการที่มิจฉาชีพพยายามนำข้อมูลส่วนตัวออก หากเจ้าของบัตรหลงกลข้อมูลส่วนตัวก็มีสิทธิ์โดนขโมยไปใช้ได้แบบไม่รู้ตัว
เก็บเซลล์สลิปไว้ตรวจสอบ
การเซ็นสลิปหรือการตรวจสอบยอดใช้จ่ายก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ต้องเช็กทั้งยอดการจ่ายเงิน และสินค้าให้ตรงกัน อีกทั้งควรเก็บเซลล์สลิปเอาไว้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องในภายหลังอีกด้วยเพื่อให้ใช้บัตรเครดิตได้อย่างปลอดภัยขึ้นกว่าเดิม
ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อบัตรถูกขโมยไปใช้งาน
เมื่อรู้ตัวว่าบัตรเราถูกขโมยไปใช้งาน ขั้นตอนที่ต้องทำ มีทั้งหมดดังนี้
1. แจ้งอายัดบัตรเครดิต บัตรเดบิตหรือบัตรกดเงินสด กับสถาบันการเงินเจ้าของบัตร
2. แจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจ
3. ตรวจสอบยอดเรียกเก็บเงินในใบแจ้งหนี้ หากพบว่ารายการใช้จ่ายมีความผิดปกติ เกิดขึ้น ให้ทำหนังสือปฏิเสธรายการเก็บเงิน
3.1 แนบเอกสารลงบันทึกประจำวัน พร้อมส่งหนังสือปฏิเสธรายการเก็บเงินโดยส่งลงทะเบียนตอบรับไปยังสถาบันการเงินเจ้าของบัตร
3.2 เก็บเอกสารทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน
3.3 ชำระหนี้รายการที่ใช้งานจริง และทำหนังสือปฏิเสธรายการที่ไม่ได้ใช้ทุกครั้ง
4. เอกสารที่ต้องเก็บเป็นหลักฐาน
4.1 สำเนาหนังสือปฏิเสธรายการใช้บัตรหรือหนังสือทักท้วงการใช้บัตร
4.2 สำเนาภาพถ่ายบัตรใบที่เกิดปัญหา (ถ้ามี)
4.3 ใบแจ้งหนี้บัตร (ถ้ามี)
4.5 ใบไปรษณีย์ตอบรับ
4.6 เอกสารที่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ชื่อว่าหากเรารู้วิธีเพิ่มความปลอดภัยการใช้งานบัตรเครดิต บัตรเดบิตและบัตรกดเงินสดแล้ว ก็จะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อย่างสบายใจมากขึ้น นอกจากนี้การรู้วิธีป้องกันรับมือกับมิจฉาชีพ ก็จะทำให้เราไม่หลงกล ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ รวมถึงเมื่อเกิดปัญหาจะทำให้เราสามารถรับมือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีนั่นเอง