เทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

หลังจากที่ผู้คนทั่วโลกต้องเผชิญกับความกังวลกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการระบาดของเชื้อไวรัสหรือปัญหามลภาวะต่าง ๆ ส่งผลให้วิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนส่วนใหญ่หันมาให้ความสำคัญด้านการดูแลสุขภาพ เริ่มเรียนรู้วิธีการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น อีกทั้งส่งผลให้รูปแบบการท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน ผู้คนต้องการการท่องเที่ยว การพักผ่อนที่เน้นไปทางฟื้นฟูสุขภาพใจและกาย เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับตัวเอง จึงก่อให้เกิดการท่องเที่ยวแบบใหม่ หนึ่งในนั้นคือ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” หรือ Wellness Tourism นั่นเอง

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคืออะไร?

อย่างแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพไม่ใช่การท่องเที่ยวสำหรับคนป่วย แต่เป็นการท่องเที่ยวเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ เน้นการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจให้มีความสมดุล เป็นการปลดปล่อยความเครียดจากวันที่เหนื่อยล้า ได้ใช้เวลากับตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเอง ยกตัวอย่างกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เช่น

  • การเข้าร่วมโปรแกรมฝึกสมาธิ เป็นการบำบัดสุขภาพจิตใจให้รู้จักความสงบและการปล่อยวาง
  • การเล่นโยคะ รำไทเก๊ก ซึ่งเป็นการดูแลทั้งสุขภาพใจ สุขภาพกาย ได้ฝึกสมาธิไปในตัว
  • การนวดแผนไทย ประคบสมุนไพร ทำสปา อาบน้ำแร่ ซึ่งเป็นศาสตร์การบำบัดที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้รู้สึกผ่อนคลาย ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น หายปวดเมื่อย รู้สึกสบายตัว
  • ทานอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อปรับปรุงระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้ดีขึ้น
  • ท่องเที่ยวเชิงเกษตร สัมผัสประสบการณ์ปลูกผัก ดำนา เก็บไข่ไก่ เรียนรู้วิถีเกษตรกรรมของชุมชน ฯลฯ

ประเภทของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

ปัจจุบันกระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้แตกแขนงออกไปในหลากหลายรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการที่แตกต่างกันของนักท่องเที่ยวแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกเป็นเทรนด์ย่อย ๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรามาดูกันว่ามีรูปแบบไหนที่น่าสนใจบ้าง

การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน (Sustain to Regain)

เป็นการท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมอย่างเท่ากัน ด้วยการคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของธรรมชาติ ผลประโยชน์ และวิถีชีวิตของคนในชุมชน รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้และปลูกจิตสำนึกให้กับนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่น ผู้ประกอบการและหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย เช่น การท่องเที่ยวเชิงชุมชน (Community-based tourism) การท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ (Ecotourism) ทั้งการปลูกป่าชายเลน พายเรือล่องแก่ง เดินป่า ดำน้ำ ดูปะการัง นอนพักโฮมสเตย์ เป็นต้น

การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Brighter Future of Culinary Tourism)

เป็นการเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรมการกิน โดยเราจะได้เรียนรู้สังคม และวัฒนธรรมผ่านเมนูอาหารต่าง ๆ ของแต่ละท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งวัตถุดิบที่เลือกใช้ในการประกอบอาหาร รสชาติเฉพาะตัว ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ อย่างข้าวซอยเชียงใหม่ ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ทำให้ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติอยากไปลิ้มลองรสชาติด้วยตัวเองถึงถิ่น หรือแม้แต่ของฝาก เช่น น้ำพริกหนุ่ม ที่ทำให้ต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน รวมไปถึงการแนะนำอาหารจากคนดัง เช่น ลูกชิ้นยืนกิน จังหวัดบุรีรัมย์ ที่โด่งดังมาจากลิซ่า วง BLACKPINK จนผู้คนต่างหลั่งไหลเดินทางไปเที่ยวบุรีรัมย์เพื่อไปทานลูกชิ้นยืนกินแบบต้นฉบับ ซึ่งถือว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดบุรีรัมย์ผ่านอาหารได้ไปในตัว

การท่องเที่ยวพร้อมการทำงาน (Work from Anywhere & Digital Nomad)

ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส ส่งผลให้รูปแบบการทำงานของเหล่ามนุษย์ออฟฟิศเปลี่ยนไป เพราะไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศก็สามารถทำงานได้ ดังนั้น จึงก่อให้เกิดเทรนด์การท่องเที่ยวพร้อมการทำงานไปในตัว หรือ Digital Nomad เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ประเทศอะไรก็สามารถทำงานไปได้เที่ยวไปด้วยได้ แถมการเปลี่ยนสถานที่ทำงาน ยังทำให้ได้พบกับบรรยากาศใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหลายสถานที่ท่องเที่ยว ร้านกาแฟ ร้านอาหาร โรงแรม ฯลฯ มีพื้นที่สำหรับการนั่งทำงาน มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Wi-Fi) ให้ใช้ฟรีเพื่อรองรับส่งงานผ่านทางออนไลน์นั่นเอง

10 สถานที่เที่ยวเชิงสุขภาพที่น่าสนใจ

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับความนิยมระดับโลก เพราะมีทรัพยากรที่หลากหลายและมีเอกลักษณ์ ตั้งแต่แหล่งธรรมชาติบำบัด ศาสตร์การนวดแผนไทย ไปจนถึงรีสอร์ตสุขภาพชั้นนำ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจ เราได้รวบรวม 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์การพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายมาแนะนำ

1. ภูโคลน คันทรีคลับ, แม่ฮ่องสอน

ค้นพบความมหัศจรรย์ของโคลนธรรมชาติ ณ ภูโคลน ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสามแหล่งโคลนบำบัดที่ดีที่สุดของโลก ระดับใกล้เคียงกับทะเลสาบเดดซีและโคลนจากภูเขาไฟในโรมาเนีย โคลนของที่นี่ผ่านการรับรองจากสถาบันวิจัยในฝรั่งเศสว่าอุดมด้วยแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณและระบบไหลเวียนโลหิต นักท่องเที่ยวสามารถเลือกผ่อนคลายได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การพอกหน้าและพอกตัวด้วยโคลนบริสุทธิ์ ไปจนถึงการนวดแผนไทย และแช่น้ำแร่เพื่อสุขภาพ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบของเมืองสามหมอก

2. อุทยานแห่งชาติน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน, ลำปาง

สัมผัสไออุ่นจากบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติกว่า 9 บ่อ ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 73 องศาเซลเซียส กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่คือการนำไข่ไก่และไข่นกกระทามาแช่ในบ่อ จนได้เป็น "ไข่ออนเซ็น" เนื้อนุ่มละมุนลิ้น ก่อนนำไปปรุงเป็นเมนูเด็ดอย่างยำไข่น้ำแร่ นอกจากนี้ยังมีบ่อสำหรับแช่เท้าเพื่อผ่อนคลาย และห้องอาบน้ำแร่แบบส่วนตัวไว้บริการ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตและบรรเทาความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี

3. ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท, หัวหิน

สัมผัสประสบการณ์ดูแลสุขภาพระดับเวิลด์คลาสที่ชีวาศรม รีสอร์ตแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูแบบองค์รวมอย่างแท้จริง โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญคอยออกแบบโปรแกรมสุขภาพเฉพาะบุคคล ตั้งแต่ด้านโภชนาการที่เน้นอาหารออร์แกนิกปรุงอย่างพิถีพิถัน ไปจนถึงกิจกรรมออกกำลังกาย กายภาพบำบัด สปาทรีตเมนต์ และศาสตร์แพทย์ทางเลือก เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ค้นพบสมดุลแห่งชีวิตและกลับไปพร้อมสุขภาพที่ดีที่สุด

4. พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร, ปราจีนบุรี

อภัยภูเบศรไม่ได้เป็นเพียงแบรนด์ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่คุ้นเคย แต่ยังเป็นศูนย์กลางความรู้ด้านการแพทย์แผนไทย ที่นี่มีบริการสปาเพื่อสุขภาพแบบครบวงจร โดยใช้สมุนไพรไทยเป็นหัวใจหลัก ตั้งแต่การนวดหน้า นวดเท้า การขัดผิว ไปจนถึงการอบและแช่สมุนไพรเพื่อขับสารพิษ เป็นการนำภูมิปัญญาดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้เพื่อการดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง

5. สปาโคลนร้อนบ้านโคกไคร, พังงา

สัมผัสประสบการณ์สปาท้องถิ่นที่ไม่เหมือนใคร จัดโดยชุมชนบ้านโคกไคร โปรแกรมจะเริ่มต้นด้วยการล่องเรือชมความงามของป่าชายเลนในยามเช้า ต่อด้วยการเดินย่ำบนหาดทรายร้อนเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และไฮไลต์คือการพอกตัวด้วยโคลนร้อนสีดำเนื้อเนียนที่ขุดลึกลงไปใต้ดินเลน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยและโรคเหน็บชา พร้อมจิบเครื่องดื่มและชิมขนมพื้นบ้าน เป็นการพักผ่อนที่ได้ทั้งสุขภาพดีและได้สนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนไปพร้อมกัน

6. น้ำพุร้อนสันกำแพง, เชียงใหม่

จุดหมายยอดนิยมตลอดกาลของเชียงใหม่ ที่นี่เป็นมากกว่าบ่อน้ำร้อน แต่เป็นศูนย์รวมกิจกรรมพักผ่อนสำหรับทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่การต้มไข่ในบ่อน้ำพุร้อน การนวดแผนไทย ไปจนถึงการแช่น้ำแร่ในบ่อส่วนตัวที่ออกแบบอย่างสวยงาม ท่ามกลางสวนดอกไม้ที่ร่มรื่น นอกจากจะได้ผ่อนคลายแล้ว ยังสามารถเลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมจากชุมชนติดไม้ติดมือกลับไปได้อีกด้วย

7. บ้านหอมสมุนไพร, เชียงใหม่

หลีกเร้นสู่โฮมสเตย์และศูนย์บำบัดสมุนไพรล้านนาที่เป็นดั่งสถานที่สุดลับในเชียงใหม่ ที่นี่คือพื้นที่แห่งความสงบที่คุณจะได้ตื่นนอนท่ามกลางธรรมชาติ ลิ้มรสอาหารคลีน และสัมผัสศาสตร์การบำบัดด้วยสมุนไพรโบราณ ทั้งการนวดประคบเพื่อคลายกล้ามเนื้อ และการเข้าซาวน่าอบไอน้ำสมุนไพรเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ที่นี่เป็นที่รู้จักในหมู่นักเดินทางต่างชาติที่ยอมรอคิวนานนับเดือนเพื่อเข้าพัก

8. เดอะเปียโน เขาใหญ่, นครราชสีมา

หลีกหนีมลภาวะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ณ เขาใหญ่ แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก เดอะเปียโนเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในย่านนี้ โดยเน้นการใช้ธรรมชาติบำบัดเป็นหลัก ควบคู่ไปกับบริการนวดรักษาและนวดผ่อนคลาย การได้ใช้เวลาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์ ถือเป็นการบำบัดความเหนื่อยล้าที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง

9. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด, ประจวบคีรีขันธ์

เยือน "ซาฟารีแห่งเมืองไทย" ที่ซึ่งทิวเขาหินปูนสูงตระหง่านมาบรรจบกับพื้นที่ชุ่มน้ำอันกว้างใหญ่ ที่นี่คือสวรรค์ของนักดูนกและผู้รักการเดินป่า คุณจะได้พบกับสัตว์ป่าหายากและพืชพรรณนานาชนิด กิจกรรมมีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินบนเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่ทอดตัวเหนือทุ่งหญ้า การล่องเรือชมวิถีชีวิตริมคลอง หรือการสำรวจความมหัศจรรย์ภายในถ้ำพระยานคร เป็นการพักผ่อนที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายและดื่มด่ำกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอย่างเต็มเปี่ยม

10. The Sanctuary Thailand, เกาะพะงัน

บนเกาะพะงันอันเงียบสงบ ที่นี่คือสวรรค์ของคนรักโยคะและการดีท็อกซ์ The Sanctuary มีคลาสโยคะและพิลาทิสให้เลือกหลากหลายระดับ พร้อมโปรแกรมล้างพิษและทำความสะอาดลำไส้ที่ออกแบบมาอย่างมืออาชีพ การได้ฝึกฝนร่างกายและจิตใจท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลที่สดชื่นและปลอดโปร่ง จะช่วยชะล้างความเครียดและทำให้คุณรู้สึกเบาสบายทั้งกายและใจ

และไม่ว่าคุณจะชื่นชอบเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบไหน อยากจะเดินทางไปเที่ยวที่ใด อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อม คือ การมีเงินสดสำรองติดตัวไว้เพื่อความอุ่นใจ โดย บัตรกดเงินสดยูเมะพลัส คือหนึ่งในตัวช่วยทางการเงินที่ดี ที่จะทำให้คุณได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างอุ่นใจคลายกังวล เพราะสามารถสั่งเงินโอนเข้าบัญชีได้ตลอด 24 ชม. แบบไม่มีค่าธรรมเนียม ผ่าน Umay+ Application
บัตรกดเงินสดยูเมะพลัส

*อัตราดอกเบี้ย 19.8% - 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว, ดูเงื่อนไขได้ที่เว็บไซต์ยูเมะพลัส