
ออฟฟิศซินโดรมกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศยุคใหม่ ด้วยลักษณะการทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายหลายจุด หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี อาจนำไปสู่โรคออฟฟิศซินโดรมเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานได้
ออฟฟิศซินโดรม คืออะไร
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการผิดปกติที่เกิดจากการทำงานในสำนักงานเป็นเวลานาน โดยมักพบในคนที่ต้องทำงานในท่าเดิมซ้ำ ๆ หรือใช้สายตาจ้องหน้าจอต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ระบบประสาท และอวัยวะอื่น ๆ อาการออฟฟิศซินโดรมไม่ได้จำกัดเฉพาะอาการปวดเมื่อยตามร่างกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาวอีกด้วย
ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร
โรคออฟฟิศซินโดรมมีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะการนั่งทำงานในท่าเดียวเป็นเวลานาน การใช้เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ไม่เหมาะสมกับสรีระ เช่น เก้าอี้ที่ไม่รองรับหลัง โต๊ะที่สูงหรือต่ำเกินไป การวางตำแหน่งคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ความเครียดและแรงกดดันในการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ รวมถึงสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอหรือการจัดวางอุปกรณ์ที่ไม่เป็นระเบียบ
อาการออฟฟิศซินโดรม

อาการออฟฟิศซินโดรมมีหลากหลายรูปแบบที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายส่วน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า โดยแต่ละอาการมีความรุนแรงแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมและระยะเวลาการทำงาน หากเราสังเกตเห็นสัญญาณเตือนเหล่านี้ในระยะเริ่มต้น และรีบแก้ไขอย่างถูกวิธี จะช่วยป้องกันไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคออฟฟิศซินโดรมเรื้อรังที่รักษายากขึ้น โดยอาการต่าง ๆ มีดังนี้
ปวดคอ บ่า และ ไหล่
อาการปวดคอ บ่า และไหล่ เป็นหนึ่งในอาการที่พบบ่อยที่สุดในคนทำงานออฟฟิศ เกิดจากการก้มคอมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน และการนั่งในท่าเดิมซ้ำ ๆ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า และไหล่ตึงเครียดและอักเสบ หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการแก้ไขอาจนำไปสู่โรคออฟฟิศซินโดรมอาการหนักขึ้น เช่น ภาวะหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือภาวะข้อไหล่ติด (Frozen Shoulder) ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างจำกัดและเจ็บปวด การบรรเทาอาการเบื้องต้นทำได้โดยการยืดเส้นคอ บ่า และไหล่เป็นระยะ ปรับระดับจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และจัดความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสรีระร่างกาย
ปวดหลัง
การปวดหลังมักเกิดจากการนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม หรือใช้เก้าอี้ที่ไม่รองรับแนวกระดูกสันหลังอย่างเหมาะสม อาการปวดอาจเริ่มจากความรู้สึกเมื่อยล้าเล็กน้อย และค่อย ๆ พัฒนาเป็นความปวดที่รุนแรงขึ้น จนอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว ในระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมก่อนวัยอันควร เราสามารถป้องกันได้โดยการนั่งหลังตรง ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลัง และลุกเดินยืดเส้นทุก 1-2 ชั่วโมง
ปวดข้อมือหรืออาการมือชา
อาการปวดบริเวณมือและข้อมือมักเกิดจากการพิมพ์คีย์บอร์ดหรือใช้เมาส์เป็นเวลานานต่อเนื่อง ทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นข้อมือและเส้นประสาทถูกกดทับ นำไปสู่อาการปวด ชา หรือความรู้สึกเสียวซ่าในมือและนิ้ว ในกรณีที่เป็นออฟฟิศซินโดรมอาการหนักอาจพัฒนาเป็นโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome) ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการใช้มือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน การใช้ที่รองข้อมือและการพักมือเป็นระยะจะช่วยป้องกันอาการนี้ได้
ปวดหัว
อาการปวดหัวมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งความเครียดจากการทำงาน การเพ่งสายตามองหน้าจอเป็นเวลานาน และอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า ซึ่งส่งผลให้เกิดการปวดหัวแบบตึงหรือมีลักษณะเป็นแถบรัดรอบศีรษะ ในบางกรณีอาจรุนแรงจนเกิดเป็นไมเกรน ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน และไวต่อแสงหรือเสียง การบรรเทาอาการเบื้องต้นทำได้โดยการพักสายตา ผ่อนคลายความเครียด และการนวดคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอและขมับเพื่อช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
อาการตาพร่า
ปัญหาทางสายตาเกิดจากการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะ Computer Vision Syndrome ซึ่งมีอาการตาแห้ง แสบตา มองเห็นไม่ชัด และปวดตา นอกจากนี้ แสงสีฟ้าจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ยังอาจรบกวนการหลับนอนและส่งผลต่อวงจรการนอนในระยะยาว การป้องกันสามารถทำได้โดยใช้กฎ 20-20-20 คือทุก 20 นาทีให้มองวัตถุที่อยู่ห่างออกไป 20 ฟุต เป็นเวลา 20 วินาที
ความเมื่อยล้าและอ่อนแรง
อาการเมื่อยล้าและอ่อนแรงเป็นสัญญาณเตือนที่มักถูกมองข้าม เกิดจากการที่ร่างกายและจิตใจต้องทำงานภายใต้ความเครียดและอยู่ในท่าทางเดิมเป็นเวลานาน ทำให้รู้สึกหมดพลังแม้เพิ่งเริ่มต้นวันทำงาน มีอาการง่วงนอนผิดปกติ หรือรู้สึกอ่อนแรงตามร่างกาย ในระยะยาวอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม การแก้ไขสามารถทำได้โดยการจัดตารางพักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียดจากการทำงาน และหากิจกรรมผ่อนคลายนอกเวลางาน
แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม
การรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมมีหลายแนวทางที่สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับระดับความรุนแรงของอาการ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้น ไปจนถึงการรักษาทางการแพทย์ในกรณีที่มีอาการรุนแรง ซึ่งควรเริ่มรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการทำงาน เราจึงรวมแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สามารถนำไปปรับใช้ได้มาฝากกัน ดังนี้
การรักษาทางการแพทย์
การรักษาทางการแพทย์จะเป็นทางเลือกที่จำเป็น แพทย์อาจพิจารณาให้ยาบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง ในบางกรณีอาจต้องใช้อุปกรณ์พยุงหรือดามเพื่อลดการเคลื่อนไหวของบริเวณที่มีปัญหา และหากมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย
การทำกายภาพบำบัด
โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินอาการและออกแบบโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจประกอบด้วยเทคนิคการนวดเพื่อคลายกล้ามเนื้อ การประคบร้อนหรือเย็นเพื่อลดการอักเสบ การใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าเพื่อบรรเทาอาการปวด และการฝึกการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ นักกายภาพบำบัดยังสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับท่าทางที่ถูกต้องในการทำงานและการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
การปรับพฤติกรรม
เริ่มจากการจัดท่านั่งทำงานให้ถูกต้อง โดยนั่งหลังตรง เท้าวางราบกับพื้น หน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับสายตา และการวางแขนและข้อมือในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติ การพักสายตาและร่างกายเป็นระยะ โดยใช้หลักการ 50-10 คือทำงาน 50 นาที พัก 10 นาที การออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการดูแลสุขภาพจิตใจด้วยการลดความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
ออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในคนทำงานยุคใหม่ แต่สามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยการใส่ใจสุขภาพและปรับพฤติกรรมการทำงานอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ หากปล่อยให้อาการรุนแรงจนกลายเป็นโรคเรื้อรัง อาจทำให้เกิดค่ารักษาพยาบาลที่ไม่คาดคิด การมีบัตรกดเงินสดเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการมีเงินสำรองนำไปใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินที่สูงขึ้นได้ สำหรับใครที่ต้องการความอุ่นใจ วางแผนรับมือกับเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ไม่กดใช้ก็ไม่เสียดอกเบี้ย สำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรกดเงินสดยูเมะพลัส ก็สามารถสมัครผ่านทางออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
*อัตราดอกเบี้ย 19.8% - 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว, ดูเงื่อนไขได้ที่เว็บไซต์ยูเมะพลัส