
ในยุคที่ความเครียดและความกดดันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Wellness Retreat" กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจ รวมถึงต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในชีวิตประจำวันชั่วคราว
จุดประสงค์ของการท่องเที่ยวแบบ Wellness Retreat ที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวทั่วไปนั้น นอกเหนือจากการสร้างความทรงจำและประสบการณ์แปลกใหม่แล้ว เราจะได้เรียนรู้ทักษะใหม่ หรือการค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ในวิถีทางที่ทำให้เรามีสุขภาพดีขึ้นผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย การนวดสปา การทำสมาธิ เป็นต้น
รูปแบบและประโยชน์ของการท่องเที่ยวแบบ Wellness Retreat
Wellness Retreat มีหลากหลายรูปแบบทั้งใช้เวลาพักผ่อนในรีสอร์ตพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไปจนถึงเดินป่าตั้งแคมป์ พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ สามารถเลือกได้ตามความสนใจ และงบประมาณที่ต้องการ โดยส่วนมากกิจกรรมที่เป็นที่นิยม ได้แก่
Detox Retreat: เน้นการขจัดสารพิษออกจากร่างกาย มีการควบคุมอาหาร รับประทานอาหารชีวจิต มังสวิรัติ หรือรับประทานน้ำผักผลไม้ ผสมผสานกับการนวดเพื่อขับสารพิษต่าง ๆ เป็นต้น
Yoga Retreat: เน้นการฝึกโยคะเป็นหลัก อาจมีผสมผสานกับกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการนวด การฝึกการหายใจ การทำสมาธิ
Meditation Retreat: เน้นการฝึกสมาธิเป็นหลัก อาจมีการผสมผสานกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างการทำสมาธิ เช่น การฝึกโยคะ การฟังคลื่นเสียงสมาธิ (Sound Healing) การทำ Social Detox เป็นต้น
Spiritual Retreat: เน้นการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของตนเองในความสงบ ปล่อยวางความคิด ความเครียด ความวุ่นวาย ผ่านการฝึกสมาธิ หรือใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติ
โดยแต่ละกิจกรรมสามารถผสมผสานกันได้ทั้งหมด ประโยชน์ของการท่องเที่ยวสุขภาพนั้นคือ การที่ผู้เข้าร่วมจะได้รับความผ่อนคลาย ปล่อยวางความเครียด ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย และจิตใจ ไปจนถึงการเรียนรู้วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี การสร้างสมดุลร่างกายและจิตใจ และการค้นพบศักยภาพของตนเอง เพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย ถ้ายังลังเลว่าการท่องเที่ยวแบบ Wellness Retreat เหมาะสำหรับตนเองหรือไม่ ลองตอบคำถามต่อไปนี้
· ต้องการเปลี่ยนบรรยากาศหรือหลีกหนีกิจวัตรประจำวันเดิม ๆ หรือไม่?
· ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมายมากขึ้นหรือไม่?
· รู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียดหรือไม่?
· ขาดแรงบันดาลใจหรือไม่ได้รับความสนุกสนานจากกิจกรรมที่เคยตั้งหน้าตั้งตารอคอยอีกต่อไปหรือไม่?
หากตอบว่าใช่จากข้อใดข้อหนึ่งในคำถามเหล่านี้ ขอแนะนำให้เก็บกระเป๋า แล้วลองไปเที่ยวแบบ Wellness Retreat สักครั้ง น่าจะคุ้มค่าแน่นอน
6 สถานที่เที่ยว Wellness Retreat ในประเทศไทย และต่างประเทศ
ประเทศไทยของเราเองก็ถือเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ มีตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ ไปจนถึงรีสอร์ตสปาระดับนานาชาติ ที่สามารถตอบโจทย์ผู้เดินทางที่แสวงหาประสบการณ์ Wellness Retreat ได้อย่างครบครัน
ในขณะเดียวกัน หากต้องการประสบการณ์ที่แตกต่าง ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกอีกมากมาย ตั้งแต่รีสอร์ตสุดหรูบนเกาะส่วนตัวใจกลางมหาสมุทร ไปจนถึงศูนย์สุขภาพ และสปาในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เราขอแนะนำ 6 สถานที่เที่ยวยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวสายสุขภาพชอบเดินทางไปกัน
1. เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประเทศไทย
หากใครกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนแบบ Wellness Retreat ในบรรยากาศแบบเกาะสวรรค์เขตร้อน เกาะสมุยเป็นหนึ่งในจุดหมายยอดนิยม มีรีสอร์ตระดับนานาชาติตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของป่าเขา และทะเล เหมาะสำหรับการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายและจิตใจแบบสบาย ๆ
2. จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย
ภูเก็ตนับเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ Wellness Retreat ผู้เดินทางสามารถเลือกพักผ่อนในบรรยากาศของรีสอร์ตสปาหรือรีสอร์ตเพื่อสุขภาพแบบดั้งเดิมก็มีครบ ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันงดงามของหาดทรายและน้ำทะเลสีคราม ที่จะช่วยสร้างความสงบให้แก่ร่างกายและจิตใจ
3. จังหวัดอยุธยา ประเทศไทย
สำหรับใครที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ Wellness Retreat ผสมผสานกับมรดกทางวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง จังหวัดอยุธยาเป็นสถานที่น่าสนใจ อยุธยามีรีสอร์ตของแบรนด์สปาชื่อดังระดับโลกตั้งอยู่ ด้วยบรรยากาศเงียบสงบริมแม่น้ำท่ามกลางทุ่งนา พร้อมให้บริการด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
4. เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
บาหลีถือเป็นอีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับ Wellness Retreat มีรีสอร์ตที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
5. มาลิบู แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็เป็นที่นิยมในประเทศสหรัฐอเมริกา มีรีสอร์ต สปา รวมไปถึงศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพเกิดขึ้นมากมาย ในมาลิบูมีแคมป์สุขภาพชื่อดังในรัฐแคลิฟอร์เนียที่จัดขึ้นทุกปี มีโปรแกรมออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพแบบเข้มข้นท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามของชายฝั่งมาลิบู รองรับนักท่องเที่ยวทุกรูปแบบ
6. เทือกเขาหิมาลัย ประเทศอินเดีย
หนึ่งในสถานที่ Wellness Retreat ที่สวยงามและได้รับความนิยมระดับโลก เหมาะแก่การเดินเขา รวมไปถึงมีรีสอร์ตตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยอันสูงส่งในประเทศอินเดีย เหมาะสำหรับการพักผ่อนฟื้นฟูร่างกาย และจิตใจพร้อมกับสัมผัสกับวิถีธรรมชาติและวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของอินเดีย
คำแนะนำสำหรับการเตรียมตัวไปทริป Wellness Retreat
หากตัดสินใจแล้วว่าจะไปท่องเที่ยวแบบ Wellness Retreat เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ากับเวลา และค่าใช้จ่ายที่เสียไป ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. กำหนดเป้าหมายการเดินทางให้ชัดเจน
ก่อนเลือกสถานที่ ควรกำหนดเป้าหมายการเดินทางของตัวเองให้ชัดเจนว่าต้องการเดินทางไปเพื่ออะไร เช่น ต้องการผ่อนคลายจากความเครียด ต้องการฝึกสมาธิ ต้องการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ต้องการทำ Social Detox หรือ ต้องการปรับการรับประทานอาหาร เช่น การรับประทานอาหารแบบ Balance Diet การรับประทานอาหารแบบชีวจิต หรือมังสวิรัติเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น เป็นต้น
2. เลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทาง
ในแต่ละสถานที่มักมีโปรแกรมหลากหลาย เมื่อกำหนดเป้าหมายของการเดินทางตามความต้องการของตนเองได้แล้ว ก็สามารถเลือกสถานที่ที่มีโปรแกรมสอดคล้องกับความต้องการ และงบประมาณของตนเองได้
3. เตรียมร่างกาย และอุปกรณ์ที่จำเป็น
หากโปรแกรมที่เลือกมีการออกกำลังกาย ควรเตรียมร่างกายให้พร้อม สำหรับอุปกรณ์ในบางสถานที่่อาจมีเตรียมไว้ให้ หรือมีให้เช่า ทางที่ดีอย่าลืมนำอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น ชุดออกกำลังกาย ชุดว่ายน้ำ ยาประจำตัว พกติดตัวไปด้วย
4. แจ้งสภาวะสุขภาพ โรคประจำตัว
หากมีโรคประจำตัว หรืออาการเจ็บป่วย ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนเดินทาง เมื่อเดินทางไปถึงสถานที่พักผ่อนแล้ว อย่าลืมแจ้งสภาวะสุขภาพ โรคประจำตัวของตัวเอง และอาหารหรือยาที่แพ้ไม่สามารถรับประทานได้ เพื่อให้ทางสถานที่นั้น ๆ ออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสม ทั้งนี้ควรเชื่อฟังคำแนะนำของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด หมั่นสำรวจร่างกายของตนเองทุกครั้งระหว่างทำกิจกรรมเพื่อความปลอดภัย
5. ทำจิตใจให้พร้อม
เปิดใจพร้อมรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ปล่อยใจให้พร้อมรับการพักผ่อน และใช้เวลาอย่างเต็มที่ รับรองว่า Wellness Retreat ครั้งนี้คุ้มค่าแน่นอน
Wellness Retreat เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการดูแลสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจ การเลือกสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณได้ฟื้นฟูและเติมพลังให้กับชีวิตอย่างแท้จริง
หากรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เครียดกับการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน อยากพักสักหน่อย แต่ก็กังวลเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน ลองหาตัวช่วยอย่างบัตรกดเงินสดยูเมะพลัสที่มีอัตราดอกเบี้ย 0% นานถึง 30 วัน* สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ที่ Umay+ Application ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเงินโอนเข้าบัญชี กดเงินสดไม่ใช้บัตร เพิ่มวงเงินออนไลน์ ชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย หรือหากสมัครไว้แล้วไม่ได้ใช้ก็ไม่เกิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
หากสนใจสามารถสมัครบัตรกดเงินสดยูเมะพลัสผ่านทางออนไลน์ได้ที่ https://www.umayplus.com/cashcard/applyform ตลอด 24 ชั่วโมง
หมายเหตุ
*เพียงมียอดเบิกถอนเงินสดภายใน 30 วันหลังจากได้รับการอนุมัติ (เฉพาะยอดเบิกถอนภายในวันแรก สำหรับลูกค้าใหม่) หลังจบรายการส่งเสริมการขายอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ย 19.8% - 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว, ดูเงื่อนไขได้ที่เว็บไซต์ยูเมะพลัส