
บัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อต่าง ๆ มักมีรูปแบบการชำระยอดค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถาบันการเงินจะกำหนด แต่ 2 รูปแบบที่เรามักเห็นกันบ่อย ๆ คือ การชำระแบบเต็มจำนวน และการชำระแบบขั้นต่ำ สำหรับมือใหม่หัดใช้บัตรเครดิต บัตรสินเชื่อ หรือเป็นมือเก่ายังสงสัยว่าการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เสียประวัติไหม จะส่งผลอย่างไร มีผลกระทบต่อเครดิตบูโรหรือไม่ ในเมื่อเจ้าของบัตรให้จ่ายขั้นต่ำได้ แล้วทำไมหลายคนถึงบอกว่าไม่ควรจ่ายแค่ขั้นต่ำ ถ้าอย่างนั้นเรามาคลายความสงสัยไปพร้อม ๆ กันเลย
การทำงานของบัตรเครดิต
ก่อนที่จะไปดูกันว่าจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เสียประวัติไหม เรามาทำความเข้าใจการทำงานของบัตรเครดิตกันสักหน่อย โดยการทำงานของบัตรเครดิตจะเป็นการใช้เพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ โดยที่เรายังไม่ต้องจ่ายเงินในทันที เพราะสถาบันการเงินเจ้าของบัตรได้เป็นผู้ทำรายการจ่ายเงินให้กับร้านค้าแทนเราไปก่อนแล้ว จึงดูเหมือนเราได้เป็นหนี้บัตรเครดิตทุกครั้งที่ใช้จ่าย
แต่หนี้นี้จะมีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ยซึ่งหากยังไม่พ้นระยะเวลาที่แต่ละสถาบันการเงินกำหนด ดอกเบี้ยบัตรเครดิตก็จะยังไม่ถูกคำนวณ โดยการชำระเงินจะถูกกำหนดในวันที่ธนาคารระบุไว้ หรือที่เรียกว่า Payment Due Date คือ วันครบกำหนดชำระที่ผู้ถือบัตรต้องชำระเงินให้แล้วเสร็จ หากไม่ชำระภายในวันที่กำหนด อาจต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ย
ผ่อนชำระกับจ่ายขั้นต่ำแตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างระหว่างผ่อนชำระกับจ่ายขั้นต่ำ คือ การผ่อนชำระเป็นการตกลงแบ่งจ่ายสินค้าหรือบริการเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยมีระยะเวลาสิ้นสุดแน่นอน ในขณะที่การจ่ายขั้นต่ำเป็นเพียงการชำระบางส่วนของยอดค้างทั้งหมด โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน และจะถูกคิดดอกเบี้ยจากยอดคงค้างทั้งหมด
สิทธิประโยชน์บัตรเครดิต
หนี้บัตรเครดิตยังเป็นหนี้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามรายการส่งเสริมการขายของบัตรเครดิตนั้น ๆ อีกด้วย เช่น
- รับคะแนนสะสมเพื่อแลกของรางวัล
- รับส่วนลดจากร้านค้า
- รับโปรโมชั่นกดเงินสดดอกเบี้ย 0%
- สามารถผ่อนชำระสินค้าดอกเบี้ย 0%
- ได้รับเงินคืนจากการใช้จ่าย (cash back)
- สิทธิพิเศษที่จอดรถ
- สิทธิพิเศษห้องรับรองตามสถานที่ต่าง ๆ
- ความคุ้มครองเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ
- ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ จะขึ้นอยู่กับร้านค้าต่าง ๆ ที่ร่วมรายการกับบัตรเครดิตของแต่ละสถาบันการเงินนั้น ๆ
จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ เสียประวัติไหม
อย่างที่เรารู้กันดีว่าการจ่ายบัตรเครดิต หรือบัตรสินเชื่อนั้นมีรูปแบบการชำระให้เลือก ทั้งการจ่ายเต็มจํานวน คือ การชำระหนี้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบบิลนั้น ๆ โดยไม่เหลือยอดค้างชำระ หรือชําระขั้นต่ำ คือ การชำระเพียงบางส่วนของยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งยอดชําระขั้นต่ำ คือ จำนวนเงินน้อยที่สุดที่ต้องชำระในแต่ละรอบบิล โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 3-10% ของยอดรวมทั้งหมด
การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงจ่ายขั้นต่ำเท่าที่เราจ่ายได้นะ แต่เป็นขั้นต่ำที่ทางสถาบันการเงินผู้ออกบัตรกำหนดเอาไว้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้เต็มจำนวน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินให้เป็น "ปกติ" ไม่เสียประวัติการชำระเงิน ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลว่าจะเสียประวัติเมื่อชำระขั้นต่ำ แต่คำถามสำคัญคือ หากไม่จ่ายบัตรเครดิตกี่เดือนติดบูโร คำตอบคือ โดยทั่วไปหากคุณไม่จ่ายบัตรเครดิตนานเกิน 3 เดือนติดต่อกัน ข้อมูลการค้างชำระนี้จะถูกบันทึกเข้าสู่เครดิตบูโร ซึ่งจะส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต
จ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำดีไหม
การจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ ดูเหมือนจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนด้วยการทยอยผ่อนจ่ายให้กับสถาบันการเงินเจ้าของบัตรไปเรื่อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วนั้นไม่ใช่เลย… เพราะการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ คือการชำระเงินไม่ครบตามจำนวนภายในวันกำหนดชำระ ทำให้การคิดดอกเบี้ยจะต่างออกจากเดิม เป็นไปตามที่แต่ละสถาบันการเงินนั้นกำหนด ซึ่งการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปีนั้น โดยทั่วไปแล้วดอกเบี้ยบัตรเครดิตในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 16-20% ต่อปี ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น ๆ
ผลลัพธ์ของการชำระขั้นต่ำ
แต่ละธนาคารและสถาบันการเงินเจ้าของบัตรจะมีการกำหนดเปอร์เซ็นต์การชำระขั้นต่ำเอาไว้ เช่น 3%, 5%, หรือ 10% ของยอดค่าใช้จ่ายในรอบบิลเดือนนั้น ๆ รวมถึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งผลลัพธ์ของการจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำดอกเบี้ยที่เคยไม่ต้องจ่ายอาจจะถูกยกเลิกได้ และถูกคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตเป็นรายวันสำหรับการใช้จ่ายในแต่ละรายการได้
Interest credit คือ ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรเครดิตและไม่ได้ชำระเต็มจำนวน โดยเมื่อคุณชำระขั้นต่ำยอดเงินที่จะปรากฏในรอบบิลถัดไป คือ ยอดคงเหลือหลังจากหักเงินที่ชำระแล้ว บวกกับดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น และยอดใช้จ่ายใหม่ในรอบบิลปัจจุบัน ทำให้ภาระหนี้อาจเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่มีการใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยจะคำนวณดอกเบี้ยจากเงินต้นคงเหลือเป็นรายวันไปจนกว่าจะครบรอบบิลอีกครั้ง หรืออธิบายง่าย ๆ คือ การคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะมี 2 ขั้น หากคุณจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำ
- ขั้นที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ยจากรายการที่เกิดขึ้นทั้งหมด คำนวณโดยใช้สูตร จำนวนเงินต้นของสินค้าที่ค้างชำระ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันที่ค้างชำระ ÷ 365 (จำนวนวันในปี) = จำนวนดอกเบี้ยในขั้นที่ 1
- ขั้นที่ 2 คิดอัตราดอกเบี้ยจากเงินคงเหลือหลังจากที่ทำการจ่ายขั้นที่ 1 ไปแล้ว คำนวณโดยใช้สูตร (จำนวนเงินต้นของสินค้าที่ต้องชำระ – จำนวนเงินขั้นต่ำที่ชำระไปแล้ว) x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันที่ค้างชำระ ÷ 365 (จำนวนวันในปี) = จำนวนดอกเบี้ยในขั้นที่ 2
เมื่อนำดอกเบี้ยขั้นที่ 1 + ดอกเบี้ยขั้นที่ 2 จะกลายเป็นจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่ม ซึ่งหากมีการชำระขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ ในทุกรอบบิล และดอกเบี้ยรายวันก็จะถูกคิดไปเรื่อย ๆ ซึ่งหากมีการใช้จ่ายเพิ่ม ยอดค่าใช้จ่ายก็จะถูกคำนวณทบเข้าไปอีกจากยอดที่ต้องชำระเดิม
แค่อ่านถึงตรงนี้ก็หนาวแล้วใช่ไหม แต่ถ้าหากได้รูดบัตรเครดิตไปแล้ว เมื่อถึงรอบชำระเกิดขาดสภาพคล่องทางการเงินขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถชำระเต็มจำนวนได้ ยังมีบัตรกดเงินสดที่เป็นบัตรสินเชื่ออีกชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยเสริมสภาพคล่อง ให้คุณสามารถนำเงินสดไปชำระได้เต็มจำนวน เพื่อตัดวงจรดอกเบี้ยบัตรเครดิตทบต้นที่อาจบานไม่รู้โรยจนเกินความสามารถในการชำระคืนเต็มจำนวนได้เช่นกัน สมัครบัตรกดเงินสดยูเมะพลัส อนุมัติรับ โปรกดเงินสด 0% นาน 30 วัน* และสามารถเลือกชำระขั้นต่ำหรือเต็มจำนวนได้โดยดอกเบี้ยคิดแบบลดต้นลดดอก ถ้าไม่ใช้ก็ไม่เสียดอกเบี้ย
เทคนิคใช้บัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่ออย่างไรให้คุ้มค่า
1. กำหนดจำนวนเงินที่ต้องการใช้ในแต่ละเดือน เพื่อคุมยอดค่าใช้จ่าย
2. ใช้บัตรฯ เมื่อสามารถชำระคืนได้เต็มจำนวน เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ย
3. ใช้ชำระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายประจำทุก ๆ เดือน เพื่อรับสิทธิประโยชน์ที่พ่วงมากับบัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อ อาทิ
- 3.1 เครดิตเงินคืนเข้าบัญชี เป็นส่วนลดจากค่าใช้จ่ายประจำ
- 3.2 สะสมแต้มจากบัตรเครดิต สามารถนำไปแลกรับของกำนัลจากธนาคารหรือสถาบันการเงินเจ้าของบัตร แลกเป็นส่วนลดร้านค้า หรือส่วนลดบริการต่าง ๆ
- 3.3 สะสมไมล์แลกตั๋วเครื่องบินสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ
- 3.4 สิทธิ์ในการใช้ห้องรับรองสนามบิน และบริการรถรับ-ส่ง รวมไปถึงประกันการเดินทางต่าง ๆ
- 3.5 ผ่อนสินค้าดอกเบี้ย 0% กับร้านค้าที่ร่วมรายการ ฯลฯ
ซึ่งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ธนาคารหรือสถาบันการเงินและร้านค้าที่ร่วมรายการจะกำหนดเอาไว้แตกต่างกัน ก่อนสมัครอย่าลืมศึกษาและเลือกบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง เพื่อรับสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตหรือบัตรสินเชื่อให้สูงที่สุด
*เพียงมียอดเบิกถอนเงินสดภายใน 30 วันหลังจากได้รับการอนุมัติ (เฉพาะยอดเบิกถอนภายในวันแรก สำหรับลูกค้าใหม่) หลังจบรายการส่งเสริมการขายอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเป็นอัตราดอกเบี้ย 19.8% - 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว, ดูเงื่อนไขได้ที่เว็บไซต์ยูเมะพลัส